วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2561

อะไรไม่ใช่ก็ปล่อยไป (Ep.1 รับมือกับคำนินทาว่าร้าย)




#อะไรไม่ใช่ก็ปล่อยไป #รับมือกับคำนินทาว่าร้าย

ไม่มีใครไม่เคยถูกนินทา... ไม่มีใครที่มีแต่คนรักเท่านั้น หาคนไม่ชอบไม่มีเลย
แต่บางครั้งเวลาได้ยินใครว่าร้าย ดูถูก เหยียดหยาม ไม่ว่าเล็กน้อยจนถึงใหญ่โต เรามักรู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี เสียใจ หรือบางครั้งถึงกับโกรธเกรี้ยว 

เราตอบกลับ หรือมีปฏิกิริยา (Reaction) กับคำกล่าว คำวิจารณ์ คำนินทาเหล่านั้นทางใดก็ทางหนึ่ง รุนแรงหน่อยก็ด่ากลับ หาวิธีแก้แค้น เอาคืน หรือทำให้อับอาย ตายกันไปข้าง

ทั้งนี้เพราะเรามีภูมิต้านทานไม่เท่ากัน
เราไม่ “ปม” ในใจไม่เหมือนกัน
ประสบการณ์ ความเชื่อ ความคิดเราแตกต่างกัน 

เช่นเดียวกับคนพูด หรือคนที่ด่าว่าเราสิ่งที่เขาพูด สะท้อนสิ่งที่เขาคิด สะท้อนจิตใจที่เขาเป็น


ไม่ได้สะท้อนความจริงที่เป็นตัวเรา

ดังนั้น...​ เมื่อได้ยินได้ฟังคำด่า คำนินทา สิ่งที่เราทำได้คือ “พิจารณา” 

เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า... ถ้าเป็น เป็นแค่ไหน รับฟัง และนำไปพัฒนาปรับปรุงตัว ส่วนไหนไม่ใช่ ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ส่วนไหนเป็นอารมณ์ของคนพูด ไม่ต้องรับมา

หากเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น... ก็ไม่ต้องรับมันไว้ ให้ปล่อยมันไป
เพราะ “มันไม่ใช่เรา”
อะไรไม่ใช่ก็ปล่อยไป

คำพูดร้ายกาจ ไม่เป็นความจริงเหล่านั้น สะท้อนจิตใจ ความคิดของคนพูด
ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย
สงสารคนพูดเสียเปล่าๆ ที่เขามีความคิดบิดเบี้ยว 

หากเราไม่รับมันเสียอย่าง เราก็ไม่เจ็บ
เราไม่รับ เพราะเราพิจารณาแล้ว ว่า “เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
อะไรไม่ใช่ก็ปล่อยไปเนอะ

ด้วยรักจากใจ
ผู้หญิงเชิงรุก

 #ผู้หญิงเชิงรุก #ผู้หญิงยุคใหม่ไม่ลำไย  #beautifulmind #beautygoodvibes #beautymindcoach #beautifulsoul #mindandsoulcoach #nlp 


วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561

รู้จักรับคำชมให้เป็น



#รู้จักรับคำชมให้เป็น
สังคมไทยโดยมาก สั่งสอนกันมาว่า ไม่ให้ชม ชมแล้วจะเหลิง หรือพอได้รับคำชม ก็ต้องรีบถ่อมตัวและปฏิเสธไปทันที
แย่ยิ่งไปกว่านั้น บางคนนอกจากปฏิเสธแล้วยังกด หรือด่าตัวเองซ้ำไปอีก
อาจจะด้วยคิดว่าการตอบรับคำชมเป็นการแสดงการอวดเก่ง อวดดี คนดีต้องถ่อมตัว

และด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจลึกๆ ของตัวเอง

เมื่อมีคนชม จึงผลักมันออกไปทันทีเพราะคิดว่าตัวเองไม่คู่ควร

รู้ไหมคะว่า...​การบอกปัดคำชม และกดตัวเอง เป็นการฝังโปรแกรมลงในจิตใต้สำนึกเรา
ว่าเราไม่ต้องการคำชมนั้น...​เราไม่ต้องการเป็นแบบคำชมนั้น เป็นการบอกว่า

เราไม่เอา

เช่น มีคนชมเราว่า "โอ้โห สวยขึ้นมากเลยนะคะเนี่ย"
เราตอบว่า

"ไม่สวยเลยค่ะ จริงๆ สิวเต็มเลยแต่เอาแป้งปิดไว้"


มีคนชมว่า "คุณผอมลงเยอะเลยค่ะ สวยมากๆ เลย เปลี่ยนไปมาก"

เราตอบกลับแต่ว่า

"ไม่หรอกค่ะ แขนยังใหญ่อยู่เลย พุงก็ไม่ลง"


เท่ากับคุณกำลังบอกปัดสิ่งนั้น และรับเอาสิ่งแย่เข้ากับตัว...​คุณป้อนความคิด ความเชื่อนั้นให้จิตใต้สำนึกคุณ
เพลินอยากให้ลองมองว่า

คนชมคุณ แปลว่าเขามองเห็นสิ่งนั้นในตัวคุณ
ไม่ต้องไปคิดว่าเขาชมตามมารยาทหรือแกล้งทำ ไม่ต้องคิด
สิ่งที่คุณควรทำคือ ยิ้ม และตอบว่า "ขอบคุณค่ะ"


ง่ายๆ เลย สาวๆ เป็นกันบ่อย
"สวยจังเลยค่ะ"
มักตอบว่า
"ไม่หรอกค่ะ"


อย่านะคะ ให้ส่งยิ้มพอดีๆ (ถ้ากลัวดูมั่นหน้าจนน่าหมั่นไส้) แล้วตอบว่า "ขอบคุณค่ะ"

อย่าได้กดตำหนิตัวเองเป็นอันขาด

ตอบรับคำชมให้เป็น

ตอบ ขอบคุณค่ะ ง่ายๆ เท่านั้นเอง
เป็นการขอบคุณและรับความเชื่อ คำชมนั้นเข้ามาในใจ

จิตใต้สำนึกเค้าฉลาดมากนะคะ เค้าจดจำ สำนึก เก็บบันทึกความรู้สึก อารมณ์ ความคิด ความเชื่อทุกอย่างไว้ คำพูดทุกคำมีผลเสมอ... ถึงต้องระวังคำพูดที่มีต่อตัวเอง และคำพูดที่เปล่งออกไป จิตใต้สำนึกเค้าทำงานตลอดเวลา และเค้าไวมากๆ

อย่าลืมนะคะ ผู้หญิงสวยสมองดี เค้าตอบรับคำชมเป็น
ตอบ ขอบคุณค่ะ

ด้วยรักจากใจ

ผู้หญิงเชิงรุก

#ผู้หญิงเชิงรุก #ผู้หญิงยุคใหม่ไม่ลำไย #สวยสมองดีเนรมิตได้ #Beautygoodvibes #beautymindcoach #beautifulmind #beautifulsoul #mindandsoulcoach


วันหนึ่งเพลินได้รับคำชวนให้ไปเดินแบบงานเปิดนาฬิกา วูบแรกใจรีบปฏิเสธทันทีด้วยความกลัว และความไม่มั่นใจอยู่ลึกๆ เห็นอย่างนี้สาวๆ หลายคนอาจนึกไม่ออกว่าเพลินเนี่ยนะกลัว มีอะไรต้องกลัว ออกจะพร้อมทั้งหน้าตารูปร่างหรืออะไรก็ว่าไป แต่บอกตรงๆ ว่าลึกๆ เป็นคนไม่มั่นใจมาก่อนโดยเฉพาะในเรื่องรูปร่างหน้าตา แม้ว่าตอนเด็กๆ จะร่วมกิจกรรม เป็นเชียร์ลีดเดอร์ ทำการแสดงเกือบทุกปี แต่ความกังวลเรื่องรูปร่างหน้าตามันไม่เคยหายไปไหน
.
เป็นเพราะเรารู้สึกว่าเราตัวใหญ่ ไม่เพรียวบางเหมือนคนอื่น เพลินเชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยเป็นค่ะ ปมวัยเด็ก ยิ่งถูกล้อ ยิ่งไม่มั่นใจ มันติดตัวมาจนโต แม้ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ มันจะมีบางเสี้ยวที่ร้องเตือนอยู่ เพลินเองก็เป็นค่ะ แต่เราในวันนี้ วัยนี้ รู้เท่าทันตัวเองแล้ว เมื่อแวบนั้นที่กลัว เตรียมปฏิเสธก็รีบดึงตัวเองกลับมา แล้วบอกตัวเองว่า “นี่แหละ โอกาสที่ฟ้าส่งมาเพื่อให้เราลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ” เป็นโอกาสที่เพลินจะได้พิสูจน์กับตัวเอง ไม่ใช่พิสูจน์ให้ใครเห็น ว่า “ฉันทำได้” “ฉันเป็นอะไรก็ได้ที่อยากจะเป็น”
.
เพลินจึงตอบตกลง และบอกตัวเองว่า “เราไปเพื่อความสนุกของเรา” “ไปเพื่อค้นหาตัวเอง” “ไปเพื่อเรียนรู้อีกโลกหนึ่ง”
ตัดความกังวลไปให้หมดว่าฉันสวยหรือเปล่า ฉันผอมพอไหม ฉันจะสู้คนที่เจนเวทีคนอื่นได้หรือเปล่า ฉันไม่ใช่สาวสังคม คนจะมองว่าอีเจ๊นี่เป็นใครหรือเปล่านะ
.
ฉันคิดเพียงแต่ว่า ฉันไปเพื่อค้นหา และเรียนรู้ และเพื่อบอกตัวเองว่า “ฉันเดินแบบได้นะ” ฉันไม่ได้แค่เขียนหนังสือเป็น ฉันไม่ใช่แค่นักธุรกิจ ฉันยังเดินแบบก็ได้ด้วย
.
วันนั้นเพลินเหมือนจะเตี้ยที่สุด แต่เพลินไม่แคร์เลย ไม่กลัวด้วย เพราะมั่นใจว่าวันนี้เราสวยพร้อมทั้งหน้า ทั้งผม เราเตรียมตัวมาดี และเรามาเพื่อสนุก “สนุก” นี่สำคัญ มันทำให้เราไม่กดดัน คิดเสียว่ามาทำเวิร์คชอป
.
สุดท้ายวันนั้นทุกอย่างผ่านไปด้วยดี และเพลินก็ดีใจมากๆ มันไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด ดีใจที่ตัวเองทำได้ เป็นอีกบทบาทที่เราก็ทำได้นะ ถึงเราไม่ใช่สาวสังคมจ๋า แต่เราก็ทำออกมาได้ดี
.
ดังนั้น ที่เพลินอยากจะบอกก็คือ การก้าวข้าม Comfort Zone นั้นสำคัญมาก บางคนคิดว่าการ play safe อยู่ในที่ปลอดภัยเงียบๆ นี่ไม่เจ็บตัว ไม่อาย แต่... ถ้าเราทำได้ เราก็จะได้ค้นพบว่าเราทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด! เราจะทึ่งกับตัวเรา และมั่นใจในตัวเองมากขึ้น พอมั่นใจแล้วสิ่งที่ตามมาคือเราจะเคารพรักในตัวเอง เห็นค่าในตัวเอง แล้วยังไงต่อน่ะหรือคะ การเคารพรักตัวเองนี่เป็นจุดเริ่มต้นของอะไรดีๆ อีกมากมาย เช่น ไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ ไม่ยอมตกเป็นเหยื่อ ไม่ยอมถูกทำร้ายทั้งกายและใจ
.
และคุณจะกล้าคิดกล้าทำ กล้าฝันทุกอย่าง
เริ่มทุกอย่างด้วยความมั่นใจ แล้วสิ่งดีๆ ก็จะตามเข้ามา
.
ดังนั้น อย่าปฏิเสธโอกาสที่จะก้าวผ่าน Comfort Zone ของตัวเองนะคะ
ด้วยรักค่ะ
#ผู้หญิงเชิงรุก
กดติดดาว See First เพื่อไม่พลาดเคล็ดลับและกำลังใจดีๆ สำหรับสาวๆ นะคะ

อย่าทำร้ายคนที่เรารักมากที่สุด



เคยเป็น หรือ เคยเจอไหมคะ คนที่ทำร้ายคนที่รักเรา หรือปรารถนาดีกับเรา ไม่ว่าจะด้วยคำพูด หรือด้วยการกระทำ... แต่กลับไปยอมจำนนให้กับคนที่โขกสับ ทำร้าย หรือทำไม่ดีกับเรา
.
น่าแปลกไหมคะ เราควรจะถนอมน้ำใจคนที่รักเราไม่ใช่หรือ แต่บ่อยครั้งที่เรากลับเลือกจะเหน็บแนม ด่าว่า หยอกแรงๆ พูดไม่ดี ทำตัวไม่ดีกับคนเหล่านั้น ทั้งที่เราจะไม่ทำก็ได้ แต่ทำไมเราถึงเลือกทำ...
.
แต่กับคนที่เอาเปรียบเรา ทำไม่ดีกับเรา มีปัญหาก็ไม่เคยช่วยเหลือ ไม่เคยจะอยู่ข้างๆ แต่เรากลับไม่กล้าจะลุกขึ้นปกป้องตัวเอง หรือตำหนิการกระทำไม่ดีของคนๆ นั้น เลือกจะปิดปากเงียบ ไม่สู้ ไม่กล้าแขวะ ไม่กล้าทวงเงิน ไม่กล้าตอกกลับว่าเขาไม่มีสิทธิ์พูดหรือทำกับเราแบบนั้น ไม่กล้าบอกว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ดี มันแย่... แค่พูดว่า "ไม่อยากมีปัญหา" หรือ "ไม่อยากมีเรื่อง"
.
แล้วเอามาลงกับคนที่รักเราแทน ไม่ค่อยจะคิดเยอะเวลาจะพูดจาด้วย อยากจะแซวแรงๆ ก็แซว อยากจะแกล้งให้อายก็ทำ ทั้งที่เราควรจะคำนึงถึงความรู้สึกของคนกลุ่มนี้มากกว่าเสียอีก
.
เพลินเพิ่งเจอเหตุการณ์นี้มาเมื่อไม่กี่วันจากเพื่อนที่ค่อนข้างสนิท จริงๆ ไม่มีอะไรมากเป็นการแซวเฉยๆ แต่ก็นับว่าแรงสักหน่อยต่อหน้าคนอื่น แวบแรกเพลินค่อนข้างเคืองนะคะ เพราะรู้สึกว่า คำพูดมีเป็นร้อยเป็นพัน เขาสามารถเลือกพูดอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คำพวกนี้ เพราะมันไม่สร้างสรรค์ และแสดงให้เห็นว่าไม่ถนอมน้ำใจเราเลย ขณะที่ตัวเขากลับไม่กล้าปฏิเสธคนทวงตังค์ หรือกล้าทวงเงินคนที่เอาเปรียบเขาทุกทาง ไม่เกรงใจเขา
.
เรื่องใหญ่อย่างนั้นไม่กล้าว่า แล้วทำไมสิ่งที่ไม่เป็นเรื่องเลยถึงกล้าพูดแรงๆ
.
ลองวิเคราะห์ดู อาจเป็นกลไกทางจิตอย่างหนึ่ง เรารู้ว่าคนเนี้ยรักเรา ดีกับเรา เค้าไม่ทำร้ายเราง่ายๆ ไม่โกรธเราหรอก เราจะพูดยังไงก็ได้ แซวแรง หักหน้ายังไงก็ไม่โกรธ
ยังไงเค้าก็ยังอยู่... ยังไงก็รัก
.
ถ้ามองว่าแซวนิดแซวหน่อยก็โกรธ... ก็อยากให้มองใหม่ว่า คนเรามองเรื่องเล็กน้อยกับใหญ่โตต่างกัน
และคำพูดสร้างสรรค์มีมากมายโดยไม่ต้องทำร้าย แม้เล็กน้อยก็ไม่ควรจะทำร้ายกันโดยเฉพาะกับคนที่รักเรา
คำพูดทำร้ายคนได้มากกว่าที่คิดนะ ดังนั้น คิดสักนิดก่อนพูด
จริงๆ ไม่ได้โกรธเพื่อนคนนั้นแล้วนะคะ แต่แค่รู้สึกสงสัยว่าอะไรทำให้มนุษย์มักมีธรรมชาติทำร้ายคนที่รักเรา... เพราะเค้ารู้มังคะว่ายังไงคนๆ นั้นก็ยังอยู่
และอยากเชิญชวนให้เราสำรวจตัวเองกันสักนิดว่าเรากำลังมีพฤติกรรมเหล่านี้อยู่หรือเปล่า... ทำร้ายคนที่รักเราด้วยคำพูดหรือการกระทำ แต่ยอมให้คนที่ไม่ดีกับเราเอาเปรียบเราโดยไม่ลุกขึ้นตอบโต้
แค่คิดให้เยอะขึ้นก่อนพูดอะไรกับคนที่รักคุณ
แทนที่จะไปคิดเยอะไม่กล้าพูดกับคนที่ทำร้ายเรา
=====
ด้วยรักจากใจ
ผู้หญิงเชิงรุก

ผู้หญิงไซส์ M แล้วไง ใครแคร์?


ผู้หญิงไซส์ M
แล้วไง... ใครแคร์? ไซส์ไหนก็สวยได้
มันคือเรื่องของ Attitude ล้วนๆ
.
เพลินจะขอเล่าสั้นๆ ว่าตัวเองเป็นคนโครงใหญ่ อ้วนง่าย ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน ออกกำลังกายก็ลงยากกว่าเดิมค่ะ จากที่สมัยวัยรุ่นหรือสาวกว่านี้ใส่ S (เพราะถึงแม้จะโครงใหญ่ อ้วนง่าย แต่ก็ยังไม่ถือว่าอวบอ้วนเกินงาม แค่ไม่ใช่คนผอมเพรียว สลิมบาง) มี M บ้างประปรายแต่ก็ไม่ถือว่าเยอะ เราก็คิดว่าเป็นที่แบบเสื้อผ้า
.
ทีนี้ผ่านมาจนจะเข้าเลขสาม คราวนี้ต้องไซส์ M อย่างเดียว เวลาไปซื้อเสื้อผ้าก็ใส่ S ไม่ค่อยจะได้แล้ว ณ วันหนึ่งเพลินจึงตระหนักได้ว่านี่เรากลายเป็นผู้หญิงไซส์ M เต็มตัวแล้วหรือนี่
.
เวลาไปเจอเพื่อน เจอคนที่ผอมเพรียวเอวบาง แขนเล็ก หน้าเล็กเท่าฝ่ามือ เพลินจะรู้สึกว่าตัวเองตัวใหญ่ยักษ์ทันที ยิ่งถ่ายรูปด้วยกันเพลินจะต้องระวังแขนเสมอ เมื่อก่อนก็นึกน้อยใจเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้วค่ะ เพราะการที่เรามัวแต่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเสมอมันทำให้เรายิ่งหงุดหงิด เสียใจ และไม่อิ่มเต็มกับตัวเอง
.
วิธีแก้เบื้องต้นที่ง่ายที่สุดคือ
1.มองตัวเองในกระจกให้เต็มตา ยิ้มให้ตัวเอง แล้วบอกว่า “ฉันคือฉัน ฉันสวย”
2.มองหาข้อดีในตัวเองมากกว่าข้อด้อย พูดออกมาให้ได้ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี เช่น “ฉันยิ้มสวย” “ฉันขาเล็ก” “ฉันตาสวย” “ฉันผิวเนียน”
3. หาข้อดีทางอุปนิสัยของตัวเอง เช่น นิสัยดี พูดเก่ง ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีน้ำใจ อารมณ์ดี
4. นึกถึงความสามารถของตัวเอง เช่น ทำกับข้าวเก่ง ทำงานเก่ง เลี้ยงดูครอบครัวให้อิ่มสำราญทุกคน เลี้ยงลูกได้ออกมาเป็นคนดี แก้ปัญหาให้คนอื่นได้
5.โฟกัสแต่ข้อดีเหล่านี้ของตัวเอง อย่าไปเพ่งว่าแขนใหญ่ เป็นสิว อ้วน พุงห้อยกว่าคนอื่น อย่าด่าตัวเอง เมื่อไรที่เผลอนึกแบบนี้ให้รีบนึกถึงสิ่งดีๆ ของตัวเองเข้าไว้ เช่น
“ถึงฉันจะพุงใหญ่แต่ฉันก็สวย”
“ถึงฉันจะแขนใหญ่แต่ผู้ชายก็ชอบคุยกับฉันเพราะฉันคุยสนุก และทำให้คนใกล้ชิดสบายใจ”
.
*** หลังจากนั้นให้เราพัฒนาสิ่งที่เราคิดว่าบกพร่อง เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ อย่าไปเครียดกับมัน เช่น ไปออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส เพื่อให้แข็งแรงและมีรูปร่างสมส่วนมากขึ้น และใจเย็นกับมัน
คิดว่า “เราทำเพื่อความมั่นใจ” และทำด้วยความสุข อย่าไปเครียดว่า “ฉันอ้วนๆ ๆๆๆๆ เมื่อไหร่จะลงซะทีวะ”
ให้เปลี่ยนเป็นคิดว่า ผ่านไปอีกวันที่หุ่นฉันกำลังดีขึ้น
.
ต่อให้ออกกำลังกายแล้วลงช้า หรือแทบไม่ลงเลยก็อย่าสติแตก
จำไว้ว่าโฟกัสแต่สิ่งดีๆ ของตัวเอง แล้วไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงไซส์อะไร M, L , XL, XXL คุณก็จะมีความสุข เพราะคุณรู้ว่าคุณมีคุณค่า มีความดีอื่นๆ ที่มากไปกว่ารูปร่างหน้าตา
.
จำไว้ว่าคำด่า คำตัดสินของคนอื่น สะท้อนคุณค่าของเขา ไม่ได้แปลว่าเราเป็นแบบนั้น
.
ผู้หญิงสวยไม่ใช่แค่ไซส์ แต่สวยที่ใจ ความคิด สมอง และสวยที่มีความสุขกับตัวเองได้ค่ะ
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์
** กด See First ติดตาว เพื่อไม่พลาดข้อคิดดีๆ เคล็ดลับเด็ดๆ และกำลังใจในการพัฒนาตัวเองสำหรับผู้หญิงนะคะ

ความเชื่อใจ สิ่งที่ต้องมีในความสัมพันธ์



ว่าด้วย "ความเชื่อใจ"
เพลินเป็นคนไม่เที่ยวกลางคืน เมื่อก่อนถ้าแฟนไปเที่ยวกับเพื่อนจะรู้สึกกังวลนิดๆ แต่ไม่ได้ตัดพ้อหรือสั่งห้ามอะไร ต่อมาพอเข้าใจเค้ามากขึ้นถึงได้รู้ว่าไปเที่ยวกับเพื่อนเค้าก็จะโฟกัสที่เพื่อน ไม่ได้โฟกัสสาวๆ และไม่ใช่คนจีบไปทั่วมั่วซั่ว หรือใจอ่อนเพราะสาวมาจีบ เราก็จะวางใจ บอกเค้าว่าให้ขับรถดีๆ ไม่ดื่มเยอะ ถึงบ้านแล้วไลน์บอกเราด้วย
.
คืนสงกรานต์ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่แฟนจะไปเล่นน้ำสงกรานต์ที่ RCA ตอนกลางคืน มีคนถามเพลินว่าทำไมเพลินให้แฟนไป ไม่กลัวสาวมาจีบมาอ่อยเหรอ งานนี้มีแต่สาวเซ็กซี่แต่งตัววับแวมและเนื้อตัวเปียก แล้วสาวสมัยนี้ใจกล้าจะตาย ตอบตามตรงคือเพลินไม่ห่วงมาก เพราะ
ข้อแรก: "รู้จักนิสัย" คนของเราดี นั่นคือข้อดีในตัวผู้ชายคนนี้ที่เพลินมองว่าโชคดี เขาไม่ใช่คนบ้าผู้หญิง แต่ถ้าสาวๆ หนุ่มๆ คนไหนที่มีแฟนที่อาจจะใจอ่อน เจ้าชู้ หรือหวั่นไหวง่าย สิ่งที่เราจะต้องมีก็คือ
ข้อสอง: "ความเชื่อใจ" เมื่อเลือกเขามาเป็นแฟน แปลว่าเรารู้และยอมรับในตัวตนของเค้า เราเชื่อใจ ให้เกียรติเค้าว่าเค้าจะไม่ทำรุ่มร่ามกับสาวอื่นลับหลังเรา
เราเชื่อใจเค้า ก็คือเราให้เกียรติเค้า ไม่ตามจับผิด ไม่ตามจิก ไม่หึงหวง เหน็บแนม โดยที่ใจเราเองก็สงบสุข ไม่เดือด ไม่ร้อน มองว่าเค้าไปเที่ยว
.
แต่ก็ต้องให้แฟนรู้ว่า ลิมิตคืออะไร อะไรที่เรา "ไม่โอเค" เช่น เรื่องนอกใจ นอกกาย ยังไงก็ไม่โอเค อะไรประมาณนี้
แฟนก็จะสบายใจ เราก็สบายใจ
แฟนวิดิโอคอลมาหาเพลินเองโดยที่เพลินไม่ต้องตาม เค้าบอกว่าอยากให้เพลินได้ดูบรรยากาศ เพราะเพลินบอกเค้าว่าเพลินไม่เคยไป RCA
เพลินไม่จำเป็นต้องจิก ต้องตาม หรือบังคับให้เค้าวิดิโอคอลมา
.
ไม่ได้อวดว่าตัวเองดี หรือแฟนดีกว่าใครๆ
แต่ตั้งใจสื่อว่า อย่าไปคิดเองก่อนว่าเค้าจะนอกลู่นอกทาง
อย่าไประแวงจนตัวเองไม่มีความสุข
อย่าไปทุกข์ในสิ่งที่ยังไม่เกิด
.
แล้วหากสมมติแฟนทรยศ แอบไปมีคนอื่นๆ จริงๆ ล่ะ... ไม่กลายเป็นว่าเราโง่ที่เชื่อหรือ...
ไม่ค่ะ เราไม่ได้โง่ แต่เราให้เกียรติ เราไว้ใจ เรามอบสิ่งนี้ให้เขา
และเรามอบความสุขให้ตัวเองด้วยที่ปล่อยแฟนไปปาร์ตี้ได้โดยที่เราไม่กระวนกระวายเป็นทุกข์ เรายังคงทำทุกอย่างของตัวเองได้อย่างมีความสุข
ถ้าเขาไม่เห็นตรงนี้ ทำลายความเชื่อใจที่เราให้ ก็ตัดเขาไป
มันไม่ใช่ความผิดของเรา
ไม่ใช่ความผิดของเราที่ไม่ตามจิกแต่แรก หรือไม่ตามไปด้วย หรือไม่ห้าม
.
เราตามจิก ตามไปด้วยอย่างนั้นไม่ได้ตลอดเวลา และทำอย่างนั้นไม่ได้ทั้งชีวิต
เรามีชีวิตเป็นของเราเหมือนกัน
เราทำเต็มที่แล้ว...
.
นี่แหละค่ะ เรื่องของความเชื่อใจ ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด
เพลินเองบางทีก็ต้องแกล้งหยอดเค้าให้เหมือนว่าเราหวงๆ หึงๆ ให้แฟนรู้สึกว่าเราหวงเค้า สนใจเค้า...
ไม่ได้ปล่อยปละละเลยไม่สนใจ
.
มีธงในใจว่า เรา "เชื่อใจ" เค้า
ถ้าเค้าทำลายมัน ก็คือต้องจากกัน
เราทำดีแล้วค่ะ
.
สุขสันต์วันหยุดสงกรานต์ทุกท่านค่ะ
** กดติดตาว See First เพื่อไม่พลาดเรื่องราว เคล็ดลับดีๆ เพิ่มพลังใจให้ผู้หญิงนะคะ ^^

“ผู้หญิง ก็เหมือน แมว...”

#ผู้หญิงก็เหมือนแมว #girlsarelikecat


“ผู้หญิง ก็เหมือน แมว...” ฝรั่งหนุ่มคนหนึ่งกล่าวไว้

เมื่อวานระหว่างนั่งเครื่องบินกลับ เพลินได้นั่งข้างชายหนุ่มชาวแคนาดา วัย 35 ปี หน้าตาดี ดูคล่องแคล่ว อารมณ์ดี 
เขาชวนคุยสารพัด ได้ความว่าหลงรักเมืองไทย มาอยู่นานหลายปีสลับระหว่างเชียงใหม่-กรุงเทพ เคยเกือบจะแต่งงานกับสาวไทยด้วย และเคยมีแฟนคนไทยอยู่หลายคนเหมือนกัน

คุยกันไปจนเมื่อทราบว่าเพลินเลี้ยงแมว เขาก็พูดขึ้นมาว่า Girls are like cats. ซึ่งในที่นี้ like หมายถึง “เหมือน” ไม่ได้แปลว่าชอบนะคะ พอเพลินถามว่า ยังไงเหรอ เขาก็อธิบายว่า
.
“ก็แมวน่ะ จะทำให้เรารู้สึกสนใจ แต่จะไม่เข้าหา เราต้องเป็นฝ่ายเข้าไปเอง ทำให้แมวสบายใจ วางใจ ไว้ใจ เมื่อนั้นแมวถึงจะอ้อน จะติดเรา มันจะน่ารักมากตอนนั้น

จากนั้นมันก็จะเริ่มเรียกร้องเพิ่มขึ้น เราก็ต้องพยายามมากขึ้น เพราะเราติดใจมันแล้ว แต่พอมันจะไม่สนใจเรา มันก็ขู่เรา ไม่สนใจเราดื้อๆ ถ้าเราไปขัดใจมัน

รู้อีกทีเราก็ต้องตามใจต่อไปเรื่อยๆ เพราะเราหลงรักมันแล้ว ก็เหมือนผู้หญิงไง ผู้หญิงน่าสนใจจะไม่แสดงโจ่งแจ้งเข้าหาเรา แต่จะทำให้รู้ว่าสนใจ แล้วผู้ชายก็ทำทุกวิถีทางให้ผู้หญิงคนนั้นสนใจ ชอบใจ พอใจ ยิ่งเค้าดีใจ ชอบใจ เค้าก็จะยิ่งหวาน ยิ่งน่ารัก เราก็ทำให้ได้ทุกอย่างเลย แต่ถ้าทำให้ไม่พอใจนะ ดุเชียว แมวจะแผลงฤทธิ์ละคราวนี้

แต่เราก็ต้องยอม ทำไงได้”
.
ฟังดูเหมือนคอนเซปต์ “ทาสแมว” ยังไงก็ไม่รู้เนอะ แต่ก็น่าสนใจดีนะคะ เป็นมุมมองผู้ชายฝรั่งแบบที่คุ้นเคยทั้งผู้หญิงตะวันตก ผู้หญิงเอเชีย และโดยเฉพาะผู้หญิงไทย
.
.
น่าสนใจตรงที่ไอเดีย “ผู้หญิงที่น่าสนใจ” หรือ “น่าค้นหาของเค้า” จะคล้ายแมว คือเป็น ผู้หญิงที่ไว้ตัวระดับหนึ่ง แต่ก็จะส่ง “สัญญาณ” บางอย่างให้รู้ว่าสนใจผู้ชายคนนั้นอยู่ ผู้ชายก็จะ “กล้า” เข้ามาหา และ ผู้หญิงจะไม่แสดงออกนอกหน้ามากว่าตื่นเต้นดีใจสุดขีด ไว้ตัวนิดๆ ยิ่งทำให้น่าค้นหา


 ผู้ชายพยายามทุกอย่างที่จะพิชิตใจว่างั้น พอผู้หญิงใจอ่อน ดีใจ ก็จะอ่อนหวาน แสดงออกแบบทำให้ “ใจละลาย” ยอมทำให้ถวายหัวเลย ถึงตอนนั้นพอจะเริ่มแง่งอน เอาแต่ใจก็ถอยไม่ได้ ต้องยอมตาม เพราะว่ารักไปแล้ว
.
แสดงว่าหนุ่มคนนี้ต้องเจอแต่สาวน่ารักนิสัยดีแน่ๆ เลยว่าไหมคะ เปรียบเทียบน่ารักเชียว อาจจะไม่เคยเจอผู้หญิงทำตัวงี่เง่าใส่ เพราะบางคน แง่งอนนิดๆ เอาแต่ใจหน่อยๆ กับโมโหร้าย ไร้สาระ มีเส้นคั่นบางๆ นิดเดียวเท่านั้น

เพลินเลยนึกถึงประเด็นนี้ขึ้นมาว่า น่าสนใจ เพราะผู้หญิงหลายคนมักมองข้ามเรื่องนี้ พอเห็นผู้ชายรัก ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ เรียกร้องนู่นนี่ ทำตัวงี่เง่า เอาแต่ใจ
.
.
อย่าลืมว่าไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่จะอดทน รับได้เสมอไป
เวลามีความรัก ต้องมีเหตุผล และรู้จักระงับอารมณ์ รู้จักปล่อยวาง และนึกถึงใจของอีกฝ่ายด้วย ถ้อยที ถ้อยอาศัย พูดจาดีต่อกัน ให้เกียรติกัน
.
ถ้าจะมีบทนางแมวดุขู่ฟ่อ ก็ขอให้เป็นเพื่อให้เขารู้ว่าเรา “เด็ดขาด”และเรามีธงของเราในใจ เพื่อให้เขาเคารพและไว้ใจเรา เช่น ให้อิสระทุกเรื่อง ยกเว้น
 ถ้านอกใจ นอกกายเมื่อไหร่ ตัดทันที หรือ ถ้าโกหกเมื่อไหร่ ให้รู้ว่าคุณไม่หยวนให้แน่นอน
.
บทนางแมวดุร้ายไม่ควรใช้เพื่อเรียกร้องให้ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ
แล้วคุณจะเป็นแมวสาวที่น่ารักที่สุด ผู้ชายไม่ไปไหนง่ายๆ แน่ๆ
ด้วยรักจากใจ
ผู้หญิงเชิงรุก

อย่าโกรธที่ฉันไม่แคร์เธออีกแล้ว แต่จงโกรธที่ตาของเธอมืดบอดเกินกว่าจะมองเห็นค่ามัน


#อย่าโกรธที่ฉันไม่แคร์เธออีกแล้ว...
แต่จงโกรธที่ฉันเคยแคร์เธอ แต่ตาของเธอมืดบอดเกินกว่าจะมองเห็นค่ามัน
...
เชื่อว่าหลายคนคงเคยรู้สึกแบบนี้ ทั้งเป็นคนกระทำ และโดนกระทำ
ทั้งเคยเป็นฝ่ายโกรธ เสียใจที่อีกฝ่ายไม่แคร์ไม่สนอีกแล้ว
และเคยเป็นฝ่ายพูดประโยคนี้เพราะเคยแคร์แต่เขาไม่สนใจ
ไม่ว่าแบบไหน สิ่งที่เพลินว่าน่าคิดก็คือ การมีสติและหันมาใส่ใจกับความดี หรือสิ่งที่คนรอบตัวเรา ทำให้เรา บางคนทำให้เรามากมาย ดีกับเรา แคร์เรา แต่เราก็ชินชากับมันจนวันที่คนๆ นั่นเดินจากไป
เขาอาจทนเราไม่ได้อีกแล้ว
หรือ เขาอาจเจอคนที่เขาชอบมากกว่า
หรือ เขาอาจเจอคนที่แคร์เขามากกว่า อยู่ด้วยแล้วมีความสุขมากกว่า
.
เราถึงมารู้ตัวว่า ฉันไม่น่าเสียเธอไปเลย
บางคนรู้ตัว...เสียใจ
บางคนไม่รู้ตัว... ไม่เข้าใจ ได้แต่เจ็บใจว่าเขาเปลี่ยนไป
แต่จริงๆ ต้องย้อนกลับมาที่ตัวเองว่า
เราดีแค่ไหนที่จะทำให้เขาอยู่ที่เรา

เราดีกับเขาไหม
ที่ผ่านมาเราทำอะไรให้เขาบ้าง
ข้อความนี้ทำให้เราหยุดเพื่อมองตัวเอง... ก่อนจะโทษคนอื่น
เราอาจจะเสียใจ แต่เมื่อยอมรับ เรียนรู้ เราก็จะไม่ทำมันซ้ำอีก
เอามาฝากสาวๆ ก่อนนอนค่ะ
ด้วยรักจากใจ

เลิกกันแล้ว เขาไปได้ดีกว่าเรา ควรรู้สึกยังไง?



#เลิกกันแล้วเขาไปได้ดีกว่าเราควรรู้สึกยังไง?
เคยไหมคะ เมื่อเราก้าวออกมาจากความสัมพันธ์แย่ๆ ไม่ว่าจะสมัครใจก้าวออกมาเอง หรือโดนผลักออกจากชีวิตเขา... เราถูกสถานการณ์บีบให้ “ก้าวต่อไป” “ทำเพื่อตัวเอง” หรือแม้แต่ “รักตัวเอง”
.
เราผ่านช่วงเวลาแห่งความเศร้าเคล้าน้ำตา เราพยายามจะโอเค
จนกระทั่งยืนหยัดได้อย่างสวยๆ เราเติบโตขึ้นทั้งความคิด จิตใจเราโอเคขึ้น เรามีความสุข บางคนอาจจะมีรักครั้งใหม่ที่ดีกว่าเดิม เยี่ยมกว่าเดิม จนต้องขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราออกมาจากความสัมพันธ์ที่ unhealthy (แปลตรงๆ ก็คือ ไม่ดีต่อสุขภาพจิต สุขภาพกาย)
.
เราบอกตัวเอง และคนอื่นก็บอกเราว่า ดีแล้ว เชิดหน้าสวยๆ แล้วมีชีวิตที่ดีกว่าให้เขาเสียดาย
ถึงแม้ว่าเราอาจไม่ได้มีเจตนาให้เขาเสียดาย แต่ถ้าเขาเสียดาย เราก็อาจจะดีใจนิดๆ สะใจหน่อยๆ
.
แต่ถ้าผู้ชายแย่ๆ คนนั้น กลับไม่ได้เสียใจเท่าไหร่ และยิ่งกลับมีชีวิต (โดยเฉพาะชีวิตรัก) ที่ดี แถมก้าวแซงเราไปอีก... ความรู้สึกคุณจะเป็นอย่างไร
.
คุณจะรู้สึกยังไงเมื่อเขากำลังจะแต่งงาน!
อึ้ง... ตกใจ...​เสียใจ โกรธ เจ็บใจ แค้นใจ...คุณจะรู้สึกแบบไหน
แน่นอนว่าคุณไม่ได้เสียดายเขา คุณไม่ได้อยากได้เขากลับมา แต่คุณอดรู้สึก “สะเทือนอย่างแรง”​ไม่ได้
.
เขากำลังจะแต่งงาน ขณะที่ผู้ชายของคุณก็ดี คู่ของคุณก็คบกันด้วยดี ราบรื่น แต่ไม่คืบหน้า
เขาควรจะเสียใจ เขาทำแย่ๆ กับเราไว้มาก ทำไมเขาถึงดู success หรือประสบความสำเร็จในรัก... เขากำลังจะแต่งงาน ขณะที่คุณยัง!

เมื่อเจอกรณีแบบนี้ #ผู้หญิงเชิงรุก ขอให้คุณตั้งสติดีๆ อย่างแรกต้องทำความเข้าใจก่อนว่า

1. การแต่งงาน ไม่ใช่คำตอบของชีวิต ไม่ใช่บทสรุป ไม่ใช่ตัวการันตีความรักที่สวยงามและยั่งยืนตลอดไป2. คือ คุณไม่ได้รักเขาแล้ว เขาจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา

ต่อให้เขาจะเป็นคนชั่วร้ายกับคุณแค่ไหนมาก่อน แต่เหตุการณ์นั้นได้ผ่านมาแล้ว ตอนนี้คุณไม่อยู่ในสถานการณ์นั้นแล้ว ดังนั้น มันไม่ใช่เรื่องของคุณ มันเป็นเรื่องของเขากับคนของเขา

3. คือ ทำไมเขาถึงไปได้ดี มีความสุข ทั้งที่เขาควรเป็นคนต้องทนทุกข์ - คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ผู้ชายบางคนไม่แสดงความทุกข์ให้ใครเห็น เขาอาจจะเสียใจเรื่องคุณมาก่อนแต่ไม่เคยให้ใครได้รู้ เขาก็แค่ก้าวผ่านมันไปได้เร็ว ไม่ได้จมอยู่กับอารมณ์นั้นนาน



หรือถ้าเขาไม่เคยทุกข์ใจเรื่องคุณ ไม่เคยต้องเป็นทุกข์ ก็ให้คิดว่า มันยังไม่ถึงเวลาของเขา
หรือถ้ารู้สึกเจ็บใจที่เขาไปได้ดี ได้เร็วกว่าคุณ ทั้งที่เขาทำแย่กับคุณไว้ ก็ให้คิดว่า เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่คุณชดใช้กรรม

ใช่ค่ะ... คิดอย่างนี้ แล้วจะตัวเบาขึ้นเยอะ

เคยได้ยินเรื่องคู่เวรคู่กรรมไหมคะ อาจมีเวรมีกรรมที่ต้องชดใช้ร่วมกัน คุณต้องชดใช้ให้เขา ขณะที่เขาก็อาจรู้สึกว่ากำลังชดใช้ให้คุณอยู่ 

ขอโทษที่อธิบายในเชิงพุทธนะคะ แต่มันทำให้ตัวเบา ใจเบาได้จริงๆ
ให้คิดเสียว่าคุณหมดเวรหมดกรรมกับเขาแล้ว และเขามีบุญมีกรรมมีวาระของเขาต่อไป เขาอาจจะมีความสุขอีกนานแสนนานก็ได้ คุณแค่รับรู้ว่า ช่วงชดใช้ของคุณหมดไปแล้ว ของเขาเป็นอย่างไรเราไม่มีทางไปรู้ และไม่ต้องอยากไปรู้ก็ได้ เพราะมันไม่มีประโยชน์

.
เพราะหากถามว่าคุณอยากได้เขาไหม คุณก็คงไม่อยาก

(ถ้าคุณตอบว่าอยาก... ก็แปลว่าโพสต์นี้ยังไม่เหมาะกับคุณ เราจะมีอีกโพสต์สำหรับคนที่ยังก้าวไม่ผ่านความสัมพันธ์แย่ๆ หรือ ไม่กล้าออกจากความสัมพันธ์หลุมดำนั้น)

แล้วถ้าคุณฝึกจิตฝึกใจคุณให้ดี ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป คุณอาจจะ ยินดีไปกับเขาที่เขามีความสุข อย่างที่เราเรียกว่า มีมุทิตา คือยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นมีความสุข
.
ถ้าคุณทำอย่างนั้นได้ แปลว่าคุณได้ก้าวไปอีกขั้นแล้วค่ะ
เป็นกำลังใจให้ผู้หญิงทุกคนนะคะ
ด้วยรักจากใจ #ผู้หญิงเชิงรุก #ผู้หญิงยุคใหม่ไม่ลำไย #ผู้หญิงฉลาด #beautymindcoach #beautifulmind #beautifulsoul #mindandsouldcoach

ตกหลุมรัก หรือ ตกหลุมพราง : 5 สัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังรัก "ผู้ชายแย่ๆ"


#ตกหลุมรักหรือตกหลุมพราง
ตกหลุมรัก หรือ ตกหลุมพราง : 5 สัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังรัก "ผู้ชายแย่ๆ"

เรื่องเดิมที่ยังเป็นปัญหาคลาสสิกของผู้หญิงเรา
ก็คือ (คิดว่าตัวเอง)ไม่เข้มแข็งพอ, ประเมินค่าตัวเองต่ำไป และ
ไม่สร้างมาตรฐานให้ตัวเอง เราถึงตกหลุมพรางในความสัมพันธ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

.
บางคนหลับหู หลับตา ไม่ฟังเสียงจากสัญชาตญาณที่ร้องเตือนเราถึงความผิดปกติ
หรือบางคนเพียงไม่อยากยอมรับความจริงว่า... คนนี้ ยังไม่ใช่อีกแล้วหรือ
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองไม่มีความสุขในความสัมพันธ์ ก็ถึงเวลาต้องเช็กแล้วล่ะค่ะว่าคุณตกหลุมรัก หรือตกหลุมพราง

และ ตอบตัวเองให้ได้ว่า... คุณพร้อมจะเดินขึ้นจากหลุม แล้วก้าวต่อไปหรือยัง

<3 



ความรักเป็นสิ่งสวยงามที่ใค
รๆ ก็ไขว่คว้าต้องการ สวยงามจนบางครั้งโลกเป็นสีชมพูจนไม่ได้มองเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง หรือบางคนก็กลัวที่จะสูญเสียผู้ชายที่คบอยู่จนปิดหูปิดตา ไม่ได้มองว่าเขา “ดีจริง” หรือ “ใช่” สำหรับเราหรือเปล่า
.
เพลินอยากชวนสาวๆ มาลองเช็กกันสักนิดค่ะว่าเรากำลัง “ตกหลุมรัก” หรือ “ตกหลุมพราง”
ของความสัมพันธ์กันแน่ รู้ตัวเร็ว จะได้เดินออกมาได้เร็ว ไม่เจ็บกายเจ็บใจนานนะคะ

มาเช็กกันค่ะ


1. กลายเป็นคนหัวเสียง่ายกับทุกเรื่อง

มื่อคบกับผู้ชายคนนี้ คุณกลายเป็นคนที่หงุดหงิด หัวเสียได้กับทุกเรื่อง เช่นเดียวกับที่เขาก็มองคุณงี่เง่า น่ารำคาญในทุกๆ เรื่องเช่นกัน
.
คุณไม่มีความสุข รู้สึกไม่พอใจกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้าง
.
สัญญาณอันตรายเพราะเขาทำให้คุณมองทุกอย่างในแง่ลบ รู้สึกแย่กับตัวเองและทุกสิ่งรอบข้าง นานไปยิ่งทำให้คุณเสื่อมความนับถือในตัวเอง และขาดชีวิตชีวา
.
อาจเกิดจากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคุณ คำพูดที่เขาใช้พูดกับคุณ ที่กดคุณหรือเปลี่ยนให้คุณเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย อารมณ์ฉุนเฉียว เจออย่างนี้ ให้รู้นะคะว่าคุณกำลัง “รักผิดคน” แล้วค่ะ



2. แทบไม่พูดกัน ไม่ยินดียินร้าย
เขาไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่ว่าคุณเป็นยังไง ทำอะไร ไม่ถามไถ่ทุกข์สุข
.
ไม่ยินดียินร้ายในชีวิตความเป็นไปของคุณ ไม่ว่าคุณจะเล่าอะไรให้ฟัง เขาก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวทั้งสิ้น
.
เขากันคุณออกจากโลกของเขากลายๆ ไม่ว่าจะเป็นสังคม ชีวิตส่วนตัว ความฝัน ความต้องการ
.
มีข้ออ้างเสมอในการ “ไม่ชวน” หรือ “ไม่รวม” คุณในการทำอะไรต่างๆ ในชีวิต
.
คุณไม่เป็นตัวของตัวเองเลยเมื่ออยู่กับเขา

เจออย่างนี้ให้รู้ไว้นะคะว่“มันไม่โอเคเลย” ที่จะอยู่กับผู้ชายคนนี้




3. มองข้ามเราเสมอ

เคยไหมที่ดูแลตัวเองอย่างดี ทำสวยเสมอๆ เลือกบำรุงตัวเอง แต่งหน้าแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน ใส่ใจทุกรายละเอียด ต้องการดูดีให้เขาเห็น วันนี้แต่งตัวเซ็กซี่มา หรือวันนี้ตั้งใจจัดดินเนอรมื้อพิเศษให้ด้วยกัน แต่เขากลับเฉยๆ ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าวันนี้เราแตกต่างจากเดิมยังไง แถมยังกลับบ้านดึกอีก
.
ไม่สังเกตว่าเราทำอะไรให้บ้าง ไม่ appreciate หรือชื่นชมที่เราทำให้ แต่กลับพุ่งความสนใจไปที่อย่างอื่น เช่น โทรศัพท์ เกมส์ รายการทีวี
.
มองข้ามความพยายาม ความหวังดีเสมอ ให้ความสนใจคนอื่น สิ่งอื่นจนละเลยคุณ
.
เจออย่างนี้ให้รู้ไว้นะคะว่าไม่เวิร์ก เราควรจะอยู่กับคนที่มีสายตาไว้มองเรา และเห็นคุณค่าในตัวเราและสิ่งที่เราทำ




4. ไม่ถนอมน้ำใจ ทำร้ายจิตใจเราเสมอ

เราก็ออกจะระวังทุกอย่าง เป็นห่วงเขาทุกเรื่อง ไม่ว่าจะทำอะไรก็คำนึงถึงเขา เขาจะหิวไหม เขาจะเหนื่อยหรือเปล่า อันนี้ของชอบเขา อันนี้เขาน่าจะสนใจ อยากให้เขามีความสุข สะดวกสบาย
.
มีเรื่องอะไรก็อยากจะเล่าให้เขาฟัง อยากแบ่งปันกับเขาทุกเรื่อง

แต่สิ่งที่เขาทำคือการบ่นว่า ติ ด่าสิ่งที่เราทำอยู่เรื่อยๆบั่นทอนจิตใจ ไม่เห็นค่ายังไม่พอ ยังเหยียบย่ำน้ำใจด้วยการพูดและแสดงให้เห็นว่าไร้ค่า
.
ต่อให้คุณถูก เขาก็จะบอกว่าคุณผิด
.
เจออย่างนี้นี่เจ็บนะคะ เดินออกมาให้เร็วที่สุดค่ะ ทำดีไม่ชมก็ว่าแย่แล้ว ยังด่าอีก คิดว่าตัวเองวิเศษขนาดไหนกันเนอะ





5. อยู่กับเขาเพราะ "กลัว" ต้องอยู่ คนเดียว

เขาบอกว่าไม่มีใครรับคุณได้
นอกจากเขา นอกจากเขาแล้วไม่มีใครเอาคุณเขาทำให้คุณกลัวถูกทิ้ง
.
คุณไม่กล้าบอกเขาว่าตัวเองรู้สึกยังไง ต้องการอะไร เรื่องที่คุยกันก็แค่ผิวเผิน คุณเก็บทุกอย่างเอาไว้ เพราะกลัวว่าจะทำให้เขารำคาญและทิ้งคุณไป
.
คุณกลัวคนอื่นจะมองว่าคุณล้มเหลวถ้าต้องเลิกกัน
.
คุณกลัวเหงาถ้าต้องอยู่คนเดียว ทั้งที่ความสัมพันธ์มันไม่เวิร์ก และคุณทำทุกอย่างให้เขาพอใจ
.
มันน่ากลัวมากนะคะแบบนี้ เพราะแปลว่าคุณมองตัวเองต่ำต้อยเหลือเกิน





ความรัก ความสัมพันธ์นี่ต้องเกิดจากทั้งสองฝ่าย เป็นทั้งผู้ให้ และผู้รับทั้งคู่นะคะ
.
ความรัก ไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่มีต่อใครคนหนึ่งเท่านั้น แต่มันยังหมายถึงความรู้สึก ความปรารถนาดี ความเคารพที่มีต่อตัวเราเองด้วยค่ะ
.
ถ้าคุณเจอสัญญาณแย่ๆ นี้แค่ข้อเดียว หรือครบทั้ง 5 ข้อ ก็ตั้งสติ และเดินจากไปให้เร็วที่สุดนะคะ



ด้วยรักจากใจ
ผู้หญิงเชิงรุก