วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ให้อภัย : ไม่ง่าย แต่หัดได้ (วางได้อะไรก็ดี)





#Forgive
อากาศร้อน ๆ แบบนี้ ผู้หญิงเชิงรุกก็อยากจะชวนคุยเรื่องดับร้อน ร้อนกายก็พาลให้ร้อนใจ และความร้อนในใจนี่ดับยากกว่าร้อนกายเสียอีกจริงไหมคะ เพลินเชื่อว่าเราทุกคนมี “ความร้อน” ในใจกันอยู่แล้ว ไม่มากก็น้อย 

         ความร้อนที่ว่าก็ได้แก่ ความโกรธ ความเกลียด ความแค้น เจ็บใจ อิจฉา โมโห หงุดหงิด ดีกรีมากน้อยต่างกันไป วันนี้อยากจะพูดถึงเรื่องความโกรธแค้น เจ็บใจที่เป็นพลังร้อน ๆ ทำให้ใจไม่เป็นสุขได้มากกว่าพลังลบอื่น ๆ เพราะมันกัดกร่อนใจได้ลึกยังไม่พอ ยังแผ่ออกมาทำลายคนอื่น และทำร้ายตัวเองอีกด้วย

ความโกรธเกลียด เคียดแค้นมาได้หลายสาเหตุ เค้ามาทำเรา เราไปทำเค้า 
บางทีเค้ามาทำเรา เราก็เลยโกรธเค้า ทำเค้ากลับ
หรือบางทีเรานั่นละที่ไปทำเค้าด้วยความริษยา หรือไม่ได้ตั้งใจ เค้าทำกลับ เราก็ยิ่งโกรธ

ทำกันไปกันมา โกรธกันไปมา พาลเป็นความเกลียด จากนั้นก็มีแต่ความรู้สึกแย่ ๆ ทำแต่สิ่งแย่ ๆ คิดว่าอีกฝ่ายจะได้รับบทเรียน จะได้เจ็บแสบสาสมกับสิ่งที่ทำ

หลายคนก็เลยขับเคลื่อนด้วยความโกรธเกลียด

แต่เพลินว่า คนเราไม่ควรขับเคลื่อนชีวิตด้วยความเกลียดชัง ความโกรธแค้น... มันเหนื่อยเปล่า ๆ จริงไหมคะ

มันอาจไม่เหนื่อยกาย แต่อาจเหนื่อยใจ ถึงอยู่เฉยๆ แต่ใจ สมองเราทำงานหนักมาก
แล้วมันจะวนเวียนอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้นถ้าเราไม่หยุด

ใช่ค่ะ เพลินกำลังพูดถึงเรื่องการหยุด... เรื่องที่ทำได้ยากเหลือเกิน

คือการให้อภัย
บางคนอาจจะเบ้ปาก แล้วบอกว่า ไม่เจอกับตัวไม่รู้น่ะสิ บางคนโดนกระทำมาหนักหนาสาหัส การคิดให้อภัยมันยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด 

หลายคนอาจมีคำถาม... ทำไมเค้าต้องทำกับเรา ทำไมเราถึงโดน แล้วคนที่ทำก็ลอยนวลไปด้วยคำว่า “อภัย” หรือไง

เพลินเองก็เคยมีคำถามพวกนี้เหมือนกัน จนหลัง ๆ ไปศึกษาเรื่องพลังงานบ้าง สมาธิบ้าง จิตและสมองบ้าง เลยค่อยๆ  ปรับความคิดความเข้าใจได้บ้าง แบบค่อยเป็นค่อยไปนะคะ เพลินไม่ได้รู้แจ้งเข้าใจได้ในทันทีหรอก

ค่อย ๆ ปรับเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งไปเรียนสมาธิแล้วตระหนักขึ้นมาว่า... ทุกอย่างมีเหตุมีผลของมัน บางอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนจะไร้สาเหตุ ว่าทำไมคนนี้ต้องมาทำเรา หรือทำไมเราถึงเกลียดขี้หน้ามันได้มากขนาดนี้ หรือทำไมเราต้องห้ำหั่นกับคนๆ นี้ตลอดเรื่อยมา หากนึกไม่ออกในชาตินี้ ก็อาจมีหลายชาติที่ผ่านมาเราไปทำกับเขาไว้ หรือผลัดกันทำไปมา ชาตินี้จึงต้องมาพัวพันกันอีก

สำหรับคนที่ไม่เชื่อเรื่องภพชาติอาจจะข้ามข้อนี้ไป ขอให้มองในเชิงพลังงาน ว่าความโกรธ เกลียดเป็นพลังงานลบ เค้ามาทำกับเรา เท่ากับสร้างการกระทำลบ (กรรม) เราตอบโต้กลับเท่ากับต่อพลังลบนั้นไปอีก มันจะสะท้อนกลับไปมาไม่จบสักที

ถ้าเราไม่อยากเหนื่อยกับการต่อสู้แบบนี้อีก เราทำได้ด้วยการหยุด... ด้วยการให้อภัย ทำยากค่ะ แต่พอหัดกันได้

มองคนที่เราโกรธ เกลียดด้วยความเมตตา... ว่าเขาคงจะทุกข์ร้อน ทุรนทุรายมากถึงได้ทำกับเรา ตอบโต้เราแบบนี้ การกระทำของเขาบอกภาวะในจิตใจเขาเป็นอย่างดี

         เพลินขอยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่เป็นรูปธรรม
เพลินเคยโดนผู้หญิงคนหนึ่งเข้าใจผิด คิดว่าเพลินเขียนเรื่องขึ้นมาเพื่อแย่งสามีของเขา ทำลายความรักของเขา (คิดได้เนอะ งงมาก) ในความเป็นจริงคือเป็นเรื่องแต่ง อิงบรรยากาศจริง ผสมจินตนาการล้วน ไม่มีอะไรจริง ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขาเลยสักนิด เขียนเล่น ๆ ทดลองแนวการเขียนใหม่ แล้วเขามาขุดหาอ่านจนเจอ (เขาน่าจะแอบติดตามเราอยู่เรื่อยๆ)

 คิดว่าคงกระทบใจเขา เขาโกรธมาก โพสต์ด่าเพลินในเฟซบุ๊กเขา มีพรรคพวกเขาที่ไม่รู้เรื่องแต่ก็ด่าเพลินอย่างสนุกปาก ตอนนั้นเพลินไม่เข้าใจว่าเขาโกรธทำไม แล้วทำไมต้อง Cyber Bully กัน โดยที่ไม่มาคุยกับเพลินว่าจริง ๆ แล้วเป็นยังไง ไม่คุยกันซึ่งๆ หน้าแต่ไปกลั่นแกล้งกันออนไลน์

โชคดีที่ได้อาจารย์ ได้แฟน ได้เพื่อน ๆ พี่ ๆ หลายคนให้กำลังใจ คำปรึกษา ว่าสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นทำสะท้อนจิตใจที่ไม่มั่นคงของเขา... เขาโกรธสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องจริงได้ แปลว่าเขาไม่มั่นใจในความรักของสามี
คิดดูสิว่าผู้หญิงแบบนี้จะเป็นทุกข์แค่ไหน ถ้าเขามั่นใจในตัวเอง ในตัวสามี เขาจะไม่ให้ค่ากับเรื่องพวกนี้เลย (เรื่องแต่งด้วย ไม่ใช่เรื่องจริง)  ผู้หญิงที่ระแวงทุกอณูแบบนี้...​มีความสุขหรือไม่ พรรคพวกของเขามารุมด่าโดยที่ไม่ได้มองเรื่องตามจริง สะท้อนวุฒิภาวะ และการเลี้ยงดูว่าพวกเขาโตมาบิดเบี้ยวขนาดไหน

เราควรจะสงสาร เมตตา และให้อภัยเค้าถึงจะถูก

เพลินฟังข้อคิดพวกนี้ตลอดก็เข้าใจระดับนึง เพราะนึกสงสารเขาอย่างมากที่ต้องเป็นทุกข์เพราะโดนจี้ปม แต่อาจจะไม่ถึงกับเมตตา ยังเรียกว่าก้ำกึ่ง แต่ก็ใช้ชีวิตต่อมาอย่างปกติสุข ลืมเรื่องผู้หญิงคนนี้ไปแล้วด้วยซ้ำจะมีสงสัยเรื่องคำสอนข้อธรรมบ้างบางครั้งเวลาฟังอะไรพวกนี้

จนวันหนึ่งที่เรียนสมาธิ สนทนากับครู อยู่ ๆก็เลยบังเกิดความเข้าใจขึ้นมาว่าทำไมเราถึงต้องเมตตา ในห้วงภวังค์สมาธิ ทำให้เกิดรู้บางอย่างว่าทั้งเราและเขาเคยทำกรรมร่วมกันมาหลายภพชาติ สู้รบปรบมือกันมามากมาย ชาตินี้ถือว่าเบาบางมากแล้ว 

เลยทำให้เข้าใจลึกขึ้นว่า... เมตตา ที่เขาเจ็บเพราะเรา และเราก็เจ็บเพราะเขา ทั้งชาตินี้หรือชาติไหน ๆ ที่ผ่านมา
ถ้าเราไม่อยากจะสู้รบกับเขาอีกทั้งระดับหนักหรือเบา เราก็ควรหยุด... หยุดด้วยการเมตตา และ...​การให้อภัย

มันทำให้เราให้อภัยเขาได้จากระดับลึกในจิตใจ

ที่เพลินพูด ๆ มานี่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องรู้อดีตชาติถึงจะให้อภัยได้นะคะ แค่เราสงสารเมตตา มองว่าเขาได้รับความทุกข์ หรือชีวิตมีเรื่องทุกข์ใจถึงได้กระทำสิ่งนั้น ๆ ออกมา

และเราไม่อยากจะต่อกรรมกับเขาอีกให้พัวพันไม่จบ ก็ต้องหยุด ด้วยการให้อภัย คิดเสียว่าพอแล้ว อโหสิกรรม ไม่ถือโทษ ส่วนเขาจะจบหรือไม่ หรือทำร้ายเราต่อหรือเปล่าเป็นกรรมของเขาแล้ว ถ้าเราไม่ตอบโต้ ก็ไม่ต้องสร้างบ่วงกรรมต่อกันอีก

เพลินคิดว่า 2 ข้อนี้ น่าจะพอช่วยให้เราให้อภัยคนได้ง่ายขึ้น

บางคนอาจเจอเรื่องร้ายแรงกว่านี้เยอะ อาจจะต้องใช้พลังใจมากหน่อย แต่เพลินเป็นกำลังใจให้ ส่วนคนที่เจอเรื่องเบากว่านี้ น่าจะอภัยได้ไม่ยาก
เราสามารถอภัยให้กับเรื่องเล็ก ๆ น้อยๆ ก็ได้ เช่น คนขับปาดหน้า ลูกค้าด่า  ลูกน้องทำงานพลาด

ที่สำคัญ อย่าลืมให้อภัยตัวเองที่เคยทำผิดพลาด เคยโกรธ เคยเกลียด หรือเคยทำไม่ดีกับใคร ๆ ไว้
เพราะให้อภัยตัวเองก็สำคัญไม่แพ้กัน

ด้วยรักจากใจ
ผู้หญิงเชิงรุก


 KEY POINTS to FORGIVE
  • สงสาร เมตตา คิดว่าคน ๆ นั้นคงทุกข์ใจ ทรมานมาก ถึงได้แสดงหรือกระทำสิ่งนั้น ๆ ออกมา
  • อย่าไปต่อกรรมด้วยการตอบโต้ให้มันพัวพันต่อไปไม่จบเลย
  • ให้อภัยตัวเองที่เคยทำสิ่งผิดพลาดทั้งทางกาย ทางใจ