วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562

เราคู่ควรกับสิ่งดีๆ ที่เรียกร้องหรือยัง Do we really deserve the best?



#เราคู่ควรกับสิ่งดีๆ ที่เรียกร้องหรือยัง Do we really deserve the best? 


ระยะหลังๆ มานี้เราจะเห็นคำคม ข้อคิดให้กำลังใจเผยแพร่หลายรูปแบบ หลายข้อที่พูดกว้างๆ ก็พอได้ แต่หลายอย่างก็ต้องอาศัยการตีความอีกชั้น ซึ่งการเป็น “คำฮิต” นั้นไม่ได้การันตีว่าผู้รับสารจะ “เข้าใจแก่น” ของข้อความนั้นจริงๆ มีอยู่หลายชุดความคิดเหมือนกัน เพลินจะทยอยยกตัวอย่างเล่าให้ผู้อ่านของเพลินฟังเรื่อยๆ แล้วกันนะคะ 

มาที่เรื่องของวันนี้ก่อนค่ะ


“เราคู่ควรกับสิ่งที่ดีที่สุด”  We deserve the best.

“We (or you) deserve the best.” ก็เป็นหนึ่งในนั้น เพลินไม่ได้จะมาคัดค้านว่ามันผิดแต่อย่างใด มันถูกแล้วแหละ เราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง เราคู่ควรกับสิ่งที่ดีที่สุด
ช่วงนี้เราจะได้ยินคำพูดนี้ในการกระตุ้นจิตใต้สำนึกของคนที่ประเมินตัวเองต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไ่ม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่นับถือตัวเอง และมักจะมาในเคสของคนที่ทนอยู่กับความสัมพันธ์แย่ๆ หรือยอมถูกปฏิบัติแย่ๆ ถูกเอารัดเอาเปรียบ กระทั่งคนที่กลัว ไม่กล้าคิดการใหญ่ ปฏิเสธโอกาสเพราะคิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่ดีพอ
ปัญหาเหล่านี้อาจเกิดจากบาดแผลในวัยเด็ก หรือตอนโตแล้วก็ได้ ที่กระทบกระเทือน Self-esteem หรือความเคารพเชื่อมั่นในตัวเอง
จึงสะท้อนออกมาในรูปแบบพฤติกรรมอย่างที่พูดมาข้างต้น
และคำกล่าวที่ว่าเราคู่ควรกับสิ่งที่ดี ความสัมพันธ์ที่ดีนะ ควรแล้วหรือที่จะต้องมาทนถูกทำร้าย อะไรประมาณนั้น
ซึ่งเป็นคำถามฉุกคิดที่ดี ช่วยประคองคนที่บอบช้ำให้ค่อยๆ ตั้งจิตตั้งใจลุกขึ้นมาได้

ความเข้าใจผิด

แต่ต่อมาคำกล่าวนี้กลับถูกเอามาใช้ปลุกใจคนอยากเป็นเศรษฐี (ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร) ซึ่งหากใช้ให้ถูกก็จะ Motivate หรือจูงใจให้คนตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเพื่อจะได้มีชีวิตที่ดี

ทว่า ส่วนมากคนที่เอาไปใช้มักไม่ค่อยบอกวิธีการที่ถูกต้อง
เอาล่ะ เพลินไม่ได้จะว่าหรือตัดสินใคร ประเด็นที่อยากจะพูดถึงคือความ “พร่ำเพรื่อ” จนแก่นแท้ของมันถูกบิดไปมากกว่า
จากการใช้เพื่อพยุงคนที่ความเคารพนับถือตัวเองต่ำ ให้เชื่อมันและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง และก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคงแข็งแรง...
กลายเป็นใช้เพื่อตามใจตัวเอง เพิ่มอีโก้ (อัตตา) ขึ้นมา เริ่มเป็น self-center คือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง โลกต้องหมุนรอบตัวฉัน
เราเริ่มเรียกร้องว่าต้องมีนั่นมีนี่ เป็นนั่นเป็นนี่ ฉันควรได้ทำงานที่ดีกว่านี้ ขับรถที่ดีกว่านี้ มีแฟนที่ดีที่สุด
แฟนที่ดีที่สุดของฉันเป็นแบบนี้ หนึ่ง สอง สาม สี่ ร่ายลงมา
ฉันควรมีชีวิตที่ดี มีบ้านหลังใหญ่ มีคนรับใช้ มีรถหรูหรา ฉันต้องเป็นเศรษฐี ฉันต้องมีเงินล้าน บลา บลา บลา

ย้อนกลับมาถามตัวเองหรือยัง

เพลินมีเคสคนมาปรึกษาที่เป็นแบบนี้เยอะมาก เมื่อคุยกันลึกลงไปถึงได้เห็นว่ามันมาจากความเชื่อนี้ว่า “ฉันต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด” เพราะเขาฟังการปลุกระดมความคิด ความเชื่อที่แพร่หลายว่า “เราคู่ควรกับชีวิต Millionaire” อะไรทำนองนี้
ฟังแล้วก็อยากจะถอนหายใจ... แต่ที่ทำคือถามกลับไป

“เราดีพอ คู่ควรกับสิ่งเหล่านั้นแล้วหรือยัง”
ไม่ใช่สักแต่พูดกันปาวๆ ว่าฉันคู่ควร ฉันต้องได้ทุกสิ่งที่ดีที่สุด แต่ไม่พัฒนาตัวเองให้เหมาะสมกับสิ่งนั้นจริงๆ
เราเป็นคนดีจริงๆ น่ะหรือ และเราดีพอสำหรับสิ่งเหล่านั้นจริงๆ หรือเปล่า...
เราขี้เกียจอยู่หรือเปล่า เราเอาเปรียบคนอื่นอยู่หรือไม่ สารพัดคำถามที่เราควรย้อนมองตัวเองก่อน...
ถ้าเอาแต่เหวี่ยงวีน ผู้ชายในฝันก็กระเจิงหมดน่ะสิ
ถ้าเอาแต่เรียกร้อง เค้าจะต้องทำนั่นทำนี่ให้ แต่ตัวเองไม่เคย “ให้” อะไรเขาเลย (ให้ ในที่นี้เป็นนามธรรม ไม่ได้หมายถึงข้าวของเงินทองเสมอไป)
แล้วจะหวังอะไรได้ จะเรียกว่าคู่ควรกับสิ่งที่ดีที่สุดได้ยังไง
เราตั้งใจทำงานไหม เราเกรี้ยวกราดใส่คนอื่นหรือเปล่า เราเป็นเพื่อนที่ใจดำไหม เรานินทาว่าร้ายคนอื่นเป็นประจำหรือเปล่า
ย้อนกลับมามองการกระทำของตัวเองด้วย

เห็นไหมคะว่านี่คือขั้วตรงข้ามของคนที่ self-esteem ต่ำ แต่เป็น self-center สูงมาก ขับเคลื่อนด้วยความเชื่อ “You deserve the best.” แต่เพียงด้านเดียว

เราจึงต้องระวังคำคม ความเชื่อพวกนี้ เพราะมันมี 2 ด้าน และไม่มีใครมานั่งบอกเราทุกครั้ง

ก่อนจะรับสิ่งไหนมาก็ขอให้พิจารณาด้วยสติปัญญานะคะ

พวกเรา  Deserve the best จริงๆ ต่อเมื่อเราดีพอค่ะ

ด้วยรักจากใจ
ผู้หญิงเชิงรุก