เป็นตัวของตัวเอง คือ เป็นยังไงกันแน่?
เชื่อว่าเราคงได้ยินประโยคนี้กันบ่อย ๆ และมันก็ฟังดูดีทีเดียวใช่ไหมคะ แต่ในความที่ดูมีพลัง ความหมายของมันก็กว้าง บางครั้งก็ทำให้เราไม่ได้ลงลึกความหมายของมันจริง ๆ
หรือพูดให้ถูกคือ ความหมายที่เป็นจริงในบริบทของเรา
นั่นคือการตอบคำถามตัวเองว่า
“ตัวของเราเองเป็นอย่างไร?”
จริงอยู่ว่า ขึ้นอยู่กับว่าเราพูดถึงเรื่องอะไร เช่น ในการทำโปรเจ็กต์นี้ เราอาจได้รับมอบหมายให้คิดงานใต้คอนเซปต์นึง เราทำตามบรีฟเป๊ะ ๆ ไม่มีตกหล่น จนไม่มีความเป็นตัวเรา
เปรียบให้เข้าใจง่ายก็คงเป็นงานอาร์ต งานศิลป์ ที่ต้องใช้พลังความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ให้ลองนึกถึงงานศิลป์อะไรก็ได้ที่คุณชอบเสพ เช่น นิยาย ภาพยนตร์ การ์ตูน ภาพศิลปะ ภาพวาด งานแฮนด์คราฟต์ ประติมากรรม ฯลฯ คุณจะบอกได้ว่างานชิ้นนั้นเป็นของใครถ้าคุณรู้จักเค้ามากพอ และเค้าผลิตงานออกมาจำนวนหนึ่ง สร้างภาพจดจำว่างานของคนนี้ จะเป็นแบบนี้
มองมุมหนึ่งก็คือ Branding
แต่ Branding นั้นสร้างเอาได้ อาจไม่ใช่ตัวตนแท้จริงเราก็ได้ แค่แสดงออก หรือทำให้เห็นบ่อย ๆ
เนื้อแท้ของเรา
ในที่นี้เราพูดถึง “ความเป็นตัวเรา” หรือ Authenticity คือเนื้อแท้ตัวตนของเรา ที่ปรากฏในทุก ๆ มิติในชีวิตเรา เมื่อเป็นตัวเอง เราจะรู้สึก Flow ทุกอย่างโล่ง ลื่นไหล มีความสุข
เมื่อไหร่ที่ไม่เป็นตัวเอง ข้างในจะอึดอัดก่อน ตามด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจ ไร้พลัง หมดไฟ จนถึงขั้น drained out ที่แปลง่าย ๆ คือตายด้าน (เพราะถูกสูบพลังไปหมด)
ลองนึกว่ามีช่วงไหนในชีวิตบ้างที่เรารู้สึกแบบนี้ ไม่ว่ากับชีวิตการเรียน การงาน ความรัก ความสัมพันธ์
ทีนี้เรากลับมาที่ “ความเป็นตัวเอง” ที่เราพูดกันแต่แรกก่อน
เราต้องตอบตัวเอง - นิยามตัวเองให้ได้ว่าความเป็นตัวเราคืออะไร
เราเป็นคนแบบไหน? บุคลิกเป็นอย่างไร? ลักษณะทางสังคมเป็นยังไง?
Introvert - Extrovert?
ชอบทำงานแบบไหน?
ชอบกินอะไร?
งานอดิเรกคืออะไร?
มีความฝันแบบไหน?
ไลฟ์สไตล์เป็นยังไง?
ชอบคนแบบไหน?
ยกตัวอย่างตัวเองแล้วกัน
ฉันเป็น Introvert ไม่ชอบไปงานปาร์ตี้สังสรรค์ โดยเฉพาะอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าเยอะ ๆ นาน ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าขี้อาย เพราะฉันก็ทำสื่อ ทำคอนเทนต์ที่นำเสนอตัวเองอยู่หลายช่องทาง
ฉันชอบท่องเที่ยว เดินทาง ชอบอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เล่นกับสัตว์เลี้ยง ดูหนัง ดูละคร
ชอบอยู่กับคนจำนวนน้อย
ฉันเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์ในเรื่องงาน แต่เรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยอื่น ๆ ในบ้าน ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ซุ่มซ่ามก็ที่หนึ่ง
ชอบคิด สร้างสรรค์ แต่ไม่ถนัดคำนวณ วางแผน คิดกลยุทธ์
ในความสัมพันธ์ ชอบคนบุคลิกดี สะอาดสะอ้าน จิตใจดี ซื่อสัตย์ ไม่เจ้าชู้ ไม่มีอีโก้จัด ให้เกียรติผู้หญิง ไม่หยาบคาย (ไม่ต้องถึงกับสุภาพสุด ๆ ก็ได้) หาเลี้ยงตนเองได้
แล้วการรู้ตัวเองอย่างนี้ดียังไง?
เมื่อเรารู้ว่าอะไรเป็นตัวเอง เราก็จะรู้ว่าอะไร “ไม่เป็นตัวเอง” ไงคะ
ยกตัวอย่างเรื่องลักษณะนิสัยจะเห็นภาพง่ายดีค่ะ
ถ้าเราชอบเจอผู้เจอคน เป็น Extrovert แต่แฟนเป็น Introvert สุด ๆ ชอบอยู่บ้าน เอนจอยความเงียบ ชิลๆ สงบ ๆ หากเข้าใจกัน ปรับกันได้ ไม่ค่อยมีปัญหา
แต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดล้ำเส้นเข้ามากะเกณฑ์ ปัญหาจะเริ่มเกิด
ศุกร์เย็น Extrovert อยากออกไปลั้ลลา แฮงก์เอาท์กับเพื่อนหลังจากเหนื่อยงานมาทั้งสัปดาห์ แต่ยอมไม่ไป เพราะแฟนไม่ชอบ มองว่าอยู่ไม่ติดบ้าน ควรใช้เวลาอยู่ด้วยกัน มี quality time ที่บ้านดีกว่าไหม ทำไมจะต้องไปเจอคนเยอะ ๆ อยู่กันเงียบ ๆ ชิล ๆ ไม่อยากนอนดูเนทฟลิกซ์ด้วยกันเหรอ
Introvert คนนี้มองว่า “สังสรรค์นอกบ้าน” = สิ้นเปลือง, เสียเวลา, (ไปเที่ยว) เหลวไหล
และถ้าคนนี้มีอิทธิพลสูงกว่าในความสัมพันธ์ ฝ่าย extrovert ก็ยอม... ทั้งที่เหี่ยวเฉา
ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของ Extrovert คือชอบเจอคน จะรู้สึกสดชื่นเหมือนได้รีชาร์จพลังถ้าได้ไปเจอผู้เจอคน เจ๊าะแจ๊ะ สนุกสนาน
ขณะที่ธรรมชาติของ Introvert คือชอบความสงบ และจะเหนื่อยมากถ้าต้องไปอยู่กับคนเยอะ ๆ การรีชาร์จพลังของเขาคือการพักผ่อน รีแลกซ์ ทำอะไรที่ชอบเงียบ ๆ ชิลๆ คนเดียว หรือกับคนที่คุ้นเคย สนิทสนม
กลับกัน ถ้าในความสัมพันธ์นี้คน Extrovert กุมอำนาจ ก็อาจบังคับให้คู่ที่เป็น Introvert ไปปาร์ตี้ด้วย ฝ่าย Introvert ก็นั่งเฉาอยู่กลางดงผู้คน ฝืนยิ้มอยู่ได้เกินชั่วโมงก็เก่งแล้ว
เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ฝ่ายที่ฝืนใจทำสิ่งที่ตรงข้ามกับธรรมชาติของตัวเองก็จะ drained out คือถูกสูบพลังชีวิตไปเรื่อย ๆ จนซังกะตาย หรือตายด้าน
ทั้งนี้ทั้งนั้น คู่ที่มีลักษณะ Extrovert - Introvert ที่อยู่กันได้ดีก็มีถมไปนะคะ เพราะเข้าใจธรรมชาติของกันและกัน และปล่อยให้แต่ละฝ่าย “เป็นตัวของตัวเอง” โดยอาจตกลงขอบเขตบางอย่างร่วมกัน ที่เรียกว่า “การปรับตัว”
เมื่อเรารู้ว่า เราเป็นแบบไหน และ เราไม่เป็นแบบไหน เราจะเข้าใจตัวเอง และคนอื่นมากขึ้น
เคารพตัวเอง และเคารพผู้อื่่นมากขึ้น
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เพื่ออยากชวนให้ทุกคนคิดว่า “การเป็นตัวของตัวเอง” ของเรามีความหมายที่กว้างมาก ไม่ใช่แค่เรื่องบุคลิกอย่างที่ยกตัวอย่างอย่างเดียว รวมถึงอาหารที่ชอบ นิสัย ความเชื่อ ทัศนคติ พฤติกรรม
ถ้าเราเข้าใจตัวเองจริง ๆ เวลามีปัญหาเกิดขึ้น เราจะตั้งสติได้เร็วมาก จะไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ใช่ สิ่งที่ทำให้เราสูญเสียความนับถือในตัวเอง สิ่งที่ทำให้เราหมดพลังใจในชีวิต
เราอาจจะลองนิยามความเป็นตัวเองออกมาหลาย ๆ มิติ แล้วจับกลุ่มแบ่งออกมา เหลือแค่ 3 คำ ลองดูว่า “ความเป็นตัวคุณ” จะออกมาเป็นคำไหนบ้าง
ด้วยรักจากใจ
ผู้หญิงเชิงรุก